ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 500 จุดในวันพฤหัสบดี (10 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่พุ่งขึ้นสูงกว่าการคาดการณ์จะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันมากขึ้นหลังจากนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงถึง 1% ภายในเดือน ก.ค. นี้
Dow Jones -1.47%
S&P500 -1.81%
Nasdaq -2.10%
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.5% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2525 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 7.2% จากระดับ 7.0% ในเดือน ธ.ค.
CPI ที่สูงขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (Bond Yield) ดีดตัวขึ้นทะลุระดับ 2% ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาด โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงในวันพฤหัสบดี (10 ก.พ.) เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 11% หลังถูกกดดันจาก Bond Yield ที่ปรับตัวขึ้น และการเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ
Stoxx Europe 600 -0.21%
CAC-40 -0.41%
DAX +0.05%
FTSE 100 +0.38%
อีกทั้ง การเปิดเผยผลประกอบการ และแนวโน้มธุรกิจของหุ้นรายตัวกดดันตลาดลงด้วย โดยหุ้นเครดิตสวิส ร่วง 6.6% หลังเตือนถึงผลประกอบการที่อ่อนแอในปี 2565 หลังจากขาดทุน 2.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2564 หุ้นยูนิลีเวอร์ ร่วงลง 1.3% หลังเตือนว่า ผลกำไรจะได้รับผลกระทบในปีนี้ และปฏิเสธเกี่ยวกับการซื้อกิจการครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเดินทาง และสันทนาการปรับตัวขึ้น 1.4% และกลุ่มเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น 1.2% ซึ่งได้ช่วยลดช่วงติดลบของตลาด
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 16,000 ตำแหน่ง สู่ระดับ 223,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 230,000 ราย ทั้งนี้ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว
