Market Watch จับตาดูโลก ประจำวันที่ 11 เมษายน 2565

Table of Contents

▪ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันศุกร์ (8 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งร่วงลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ดัชนี S&P500 ปิดลดลงหลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะดำเนินนโยบายคุมเข้มทางการเงินเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

Dow Jones +0.40%

S&P500 -0.27%

Nasdaq -1.34%

แต่ในรอบสัปดาห์ก่อน ดัชนี Dow Jones ลดลง 0.28%, ดัชนี S&P500 ปรับตัวลง 1.16% และดัชนี Nasdaq ร่วง 3.86% เนื่องจากตลาดได้รับผลกระทบจากความวิตกที่ว่าแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของเฟดจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง

หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.76% แต่กลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.43% และเป็นกลุ่มที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุด

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 1.18% หลังร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือนเมื่อวันพฤหัสบดี โดยหุ้นกลุ่มธนาคารได้แรงหนุนจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ 2.73%

หุ้นกลุ่มธนาคารรายใหญ่ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นตามกัน โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่ง 1.8%, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป บวก 0.7%, หุ้นซิตี้กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 1.7% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่ง 2.3%

ทั้งนี้ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ จะเริ่มรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าจะรายงานผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า

หุ้นเทสลา, อินวิเดีย และอัลฟาเบท ร่วงลงราว 1.9-4.5% โดยถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น

ดัชนี NYSE FANG+TM ซึ่งประกอบด้วยหุ้นแอมะซอนและหุ้นแอปเปิล ร่วง 1.76% และหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ร่วง 2.42%

หุ้นรายตัวที่ปรับตัวขึ้นยังรวมถึงหุ้นโครเกอร์ โค ซึ่งพุ่งขึ้น 2.99% หลังได้รับการปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุน ส่วนหุ้นโรบินฮู้ด มาร์เก็ต อิงค์ ร่วง 6.88% หลังโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคำแนะนำลงทุน

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยในวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริการายงานสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 2.5% ในเดือน ก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 19.9% ในเดือน ก.พ. ส่วนยอดขายในภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 1.7% หลังจากพุ่งขึ้น 5.0% ในเดือน ม.ค.

▪ ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันศุกร์ (8 เม.ย.) ขณะที่นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบแรกในวันที่ 10 เม.ย. นอกจากนี้ตลาดยังจับตาแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และสถานการณ์เกี่ยวกับยูเครน

Stoxx Europe 600 +1.31%

CAC-40 +1.34%

DAX -1.89%

FTSE 100 +1.56%

หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์นำตลาดปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นทุกกลุ่มปิดตลาดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ พุ่งขึ้น 3.2% จากผลกระทบจากวิกฤตยูเครน-รัสเซีย โดยสหภาพยุโรปได้อนุมัติมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามนำเข้าถ่านหินจากรัสเซีย

หุ้นแบงโก บีพีเอ็ม ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของอิตาลี พุ่งขึ้น 14.1% หลังธนาคารเครดิต อากริโคลของฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ได้ซื้อหุ้น 9.2% ในแบงโก บีพีเอ็ม

หุ้นรายตัวที่ปรับตัวขึ้นรวมถึงหุ้นแอตแลนเทีย ซึ่งเป็นกลุ่มสาธารณูปโภคของอิตาลีพุ่งขึ้น 3.7% หลังมีรายงานว่า บริษัทเอดิซิโอเน (Edizione) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่และบริษัทแบล็คสโตนอาจเสนอซื้อหุ้นแอตแลนเทียที่ราคา 24 ยูโรต่อหุ้นในช่วงเทศกาลอีสเตอร์

Social Share
Facebook
Twitter
Picture of Traderbobo
Traderbobo

นักลงทุนในตลาด Forex และสินทรัพย์ทางการเงินด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี มุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย พร้อมแบ่งปันความรู้และกลยุทธ์การเทรด เพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในโลกการเงิน เหมาะสำหรับทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ

บทความน่าสนใจ
Adsense
Table of Contents
บทความน่าสนใจ
Adsense
Top Forex Brokers
IUX
Rated 5 out of 5
GO Markets
Rated 3.5 out of 5
EIGHTCAP
Rated 4 out of 5
Advertisement
FBS
Rated 3 out of 5
Pepperstone
Rated 2 out of 5
IUX
Rated 5 out of 5
FXGT.com
Rated 3.5 out of 5
EIGHTCAP
Rated 4 out of 5
Advertisement
FBS
Rated 3 out of 5
Pepperstone
Rated 2 out of 5