จะเกิดอะไรขึ้น? เมื่อ “น้ำมัน” กลายเป็น “อาวุธ” โจมตีทางเศรษฐกิจของจีนและรัสเซีย

Table of Contents
น้ำมัน

สืบเนื่องมาจากประเด็นร้อนแรงทางเศรษฐกิจโลกในตอนนี้ เมื่อราคาน้ำมันสูงขึ้นไม่ยอมหยุด จากการที่สหรัฐและซาอุดีลลับกับกลุ่ม OPEC+ จับมือกันลดกำลังผลิตน้ำมันลง และเอื้อประโยชน์ต่อประเทศที่เป็นพันธมิตรด้วยเท่านั้นอย่างจีน ซึ่งเป็นที่ค้านสายตาของนักวิเคราะห์ทั่วโลก เนื่องจากในช่วงที่เศรษฐกิจมีภาวะชะลอตัวอย่างในปัจจุบัน ราคาน้ำมันควรปรับตัวลงด้วย Demand และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ลดลง รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (FED) และธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง หรือเหตุการณ์นี้อาจมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ประชาชนอย่างเราคาดไม่ถึง?

เมื่อ “น้ำมัน” อาจกลายเป็น “อาวุธ” โจมตีทางเศรษฐกิจ

น้ำมัน

———————————— 🐶 ————————————

ซาอุดิอาระเบีย “ขยายเวลา” ลดการผลิตน้ำมัน

ประเด็นแรก พี่ใหญ่แห่งวงการผลิตน้ำมันอย่างซาอุดิอาระเบียคอนเฟิร์มการขยายเวลาลดกำลังผลิตน้ำมันลง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งก่อนหน้านี้ซาอุเคยทำเช่นนี้มาแล้ว 2 ครั้ง เพื่อต้องการตรึงราคาน้ำมันให้อยู่ที่ระดับ $80 ต่อบาร์เรล หากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจอยู่แล้วจะทราบว่า โดยปกติซาอุผลิตน้ำมันประมาณ 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน นั่นหมายความว่า ซาอุลดการผลิตไป 10% หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น คือ ไทยบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้น การที่ซาอุลดการผลิตลง 10% ต่อวัน เท่ากับน้ำมันไทยหายไปทั้งประเทศ 1 วัน

น้ำมัน
Source: ภาพแสดงปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศต่าง ๆ จาก Bicmagazine

ความร่วมมือจาก “ขั้วอำนาจใหม่” และ “กลุ่ม OPEC+”

ประเด็นต่อมา ซาอุได้รับความร่วมมือกับรัสเซีย มือวางอันดับ 2 ของประเทศที่ผลิตน้ำมัน โดยรัสเซียออกมาชี้แจงว่าจะลดการผลิตลง 5 แสนบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งยังได้รับความเห็นชอบจากกลุ่ม OPEC+ ซึ่งเมื่อรวมกันทั้งหมดแล้ว ปริมาณการผลิตน้ำมันจะถูกลดลงไป 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

ประเทศที่เป็นพันธมิตรกับรัสเซียได้รับราคาน้ำมันแบบ “Flash Sale”

ประเด็นนี้สำคัญ จากเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาพลังงานอย่างน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงจนแตะ $100 ต่อบาร์เรล ส่งผลให้รัสเซียที่เป็นหนึ่งในประเทศที่มีทรัพยากรพลังงานจำนวนมาก ออกอุบายผูกขาดราคาน้ำมันแก่ประเทศที่เป็นพัธมิตรในราคาถูกลงกว่า 50% ตัวอย่างเช่น ณ ตอนนั้นรัสเซียขายน้ำมันให้แก่อินเดียในราคาถูกกว่าคู่ค้ารายอื่นด้วยเงินหยวน เนื่องจากอินเดียเลือกข้างชัดเจนว่า อาจอยู่ฝั่งรัสเซียในสงครามครั้งนี้ และอินเดียเข้าซื้อน้ำมันจากรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการผูกขาดน้ำมันอย่างชัดเจน เเละส่งผลกระทบถึงราคาน้ำมันจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนี้ จีนยังเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับการผูกขาดน้ำมันทั้งกับรัสเซียและซาอุ โดยมีข้อตกลงว่าจะใช้เงินหยวนในการซื้อขาย ซึ่งเป็นผลมาจากวัตถุประสงค์หลักของกลุ่ม BRICS เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสกุลเงิน และลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ ณ ตอนนี้เศรษฐกิจจีนจะไม่เติบโตสูงเท่าเดิม แต่ปริมาณการนำเข้าน้ำมันยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จีนกลายเป็นลูกค้าชั้นดีของรัสเซียอย่างเป็นทางการ

หลายประเทศทนไม่ไหว หันมาซื้อน้ำมันด้วย “หยวน”

สืบเนื่องมาจากประเด็นก่อนหน้านี้ การที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ประเทศที่ดูเหมือนจะพยุงเศรษฐกิจไม่ไหวต้องยอมซื้อน้ำมันจากซาอุและรัสเซียด้วยเงินหยวน ตัวอย่างเช่น ปากีสถานและศรีลังกา ซึ่งทั้งสองประเทศเกิดการขาดดุลทางการค้าอย่างหนัก จนทำให้เงินเสื่อมค่าลงและเสี่ยงล้มละลาย โดยปัญหาหลักเกิดจากการนำเข้าน้ำมันราคาสูง ดังนั้น ทั้งสองประเทศจึงตัดสินใจศิโรราบแก่รัสเซีย นอกจากนี้ ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างลาวก็เปลี่ยนมานำเข้าน้ำมันจากจีนแล้วเช่นกัน

ใครได้รับผลกระทบมากที่สุด?

อีกหนึ่งประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากภารกิจตรึงราคาน้ำมันในครั้งนี้สำเร็จ ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในการนำเข้าน้ำมัน ซึ่ง IMF ได้ออกมาเตือนว่า การที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกระทบร้ายแรงและกดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวมากกว่าเดิม และเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ แต่รัสเซียและ OPEC+ จะสนใจประเด็นนี้หรือไม่?

โดยประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงหนีไม่พ้นยูโรโซน เนื่องจากจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันเป็นจำนวนมากด้วยราคาที่สูง ทำให้ประเทศส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับการเติบโตของอัตราเงินเฟ้อ ในทางกลับกัน ประเทศที่อยู่ในกลุ่ม BRICS และสนับสนุนรัสเซียกลับมีอัตราการเติบโตของเงินเฟ้อที่ต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะจีน บ่งชี้ให้เห็นว่า วิกฤตเงินเฟ้อที่ทั่วโลกกำลังเผชิญจากราคาน้ำมัน คงเป็นได้ยากที่จะเกิดขึ้นกับจีน

———————————— 🐶 ———————————–

สรุป เมื่อ “น้ำมัน” กลายเป็น “อาวุธ” โจมตีทางเศรษฐกิจ

จากประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมด ณ ตอนนี้ น้ำมันอาจกลายเป็นอาวุธสำคัญที่จีนและรัสเซียใช้ต่อกรกับฝังโลกตะวันตกอย่างสหรัฐ ซึ่งในอดีตทุกคนรับรู้ว่า น้ำมันถูกผูกไว้กับสกุลเงินดอลลาร์เท่านั้น หรือที่เรารู้จักกันในนาม ระบบเปโตรดอลลาร์ แต่ปัจจุบันเราได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และอาจเป็นไปได้ว่า ระบบเปโตรหยวน กำลังเข้ามาแทนที่จากความร่วมมือของขั้วอำนาจใหม่นำโดยจีนและรัสเซีย รวมถึงซาอุและ OPEC+ ที่ต้องการตรึงราคาน้ำมันให้สูงขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการผลักดันให้เงินหยวนเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มรูปแบบ จากความร่วมมือของกลุ่ม BRICS เพื่อลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ และเปลี่ยนขั้วอำนาจของโลก อย่างไรก็ตาม แผนการในครั้งนี้นั้นส่งผลกระทบให้กับประเทศที่ไม่ได้เป็นพันธมิตรกับรัสเซียเป็นวงกว้าง ซึ่งสหรัฐเริ่มมีการผลิตน้ำมันในปริมาณที่สูงขึ้น และดูเหมือนว่า ในอนาคตอาจทำการส่งออกเพื่อช่วยประเทศที่เป็นพันธมิตรให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้

ดังนั้น เราคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่า สงครามน้ำมันในครั้งนี้จะจบลงอย่างไร และใครจะต้องเจ็บตัว แต่ที่แน่ ๆ หากยังไม่มีข้อสรุป เราคงต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจไปอีกนาน

หากใครกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex อยู่ เราได้รวบรวมไว้ที่นี่!

รวม Broker สุดปัง รีวิวจริงจากการใช้งาน

รวมโบรกเกอร์ Free Swap

รวมโบรกเกอร์เทรดทองสุดคุ้ม

รวมโบรกเกอร์สเปรดต่ำมาก


อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้

พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page

Social Share
Facebook
Twitter
Picture of Traderbobo
Traderbobo

นักลงทุนในตลาด Forex และสินทรัพย์ทางการเงินด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี มุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย พร้อมแบ่งปันความรู้และกลยุทธ์การเทรด เพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในโลกการเงิน เหมาะสำหรับทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ

บทความน่าสนใจ
Adsense
Table of Contents
บทความน่าสนใจ
Adsense
Top Forex Brokers
IUX
Rated 5 out of 5
GO Markets
Rated 3.5 out of 5
EIGHTCAP
Rated 4 out of 5
Advertisement
FBS
Rated 3 out of 5
Pepperstone
Rated 2 out of 5
IUX
Rated 5 out of 5
FXGT.com
Rated 3.5 out of 5
EIGHTCAP
Rated 4 out of 5
Advertisement
FBS
Rated 3 out of 5
Pepperstone
Rated 2 out of 5