ทฤษฎีดาว (Dow Theory) คืออะไร? พื้นฐานการลงทุนที่คุณต้องรู้!

Table of Contents
ทฤษฎีดาว หรือ Dow Theory คืออะไร

ทฤษฎีดาว (Dow Theory) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่เทรดเดอร์สายเทคนิคอลควรให้ความสนใจ เพราะเป็นรากฐานที่จะช่วยให้คุณเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาและแนวโน้มที่เกิดขึ้นในตลาดได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่เทรดเดอร์สายเทคนิคอลเท่านั้น เพราะแม้แต่ผู้ที่ต้องการเรียนรู้พื้นฐานการเทรดก็จำเป็นต้องศึกษาทฤษฎีนี้เช่นกัน หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุนมากขึ้น อย่ามองข้าม “ทฤษฎีดาว” เด็ดขาด!

*หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎี Dow Theory เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเชิญชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษารายละเอียดการลงทุนและความเสี่ยงให้ดีก่อนเริ่มทำการลงทุน

Dow Theory คืออะไร

Dow Theory เป็นทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ถูกวางรากฐานโดย Charles H. Dow ด้วยความเชื่อที่ว่า การเคลื่อนที่ของราคาจะสะท้อนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด และการเคลื่อนที่ของราคามักจะแสดงออกมาเป็นแนวโน้มเสมอ โดยทฤษฎีที่ว่า จะถูกแบ่งออกเป็น 6 หลักการง่าย ๆ

ในโลกการเงิน Dow Theory ค่อนข้างมีความสำคัญมากครับ ไม่เชิงว่าเป็นพื้นฐานซะทีเดียว แต่เจ้าทฤษฎีดาวก็ถือเป็นหนึ่งในรากฐานของเครื่องมือที่เราใช้วิเคราะห์กันอยู่ในปัจจุบันครับ เช่น แนวรับ-แนวต้าน, รูปแบบกราฟ แนวคิด Price Action และอื่น ๆ

ทฤษฎี Dow Theory 6 ข้อ มีหลักการอย่างไร

หลักการใช้งานทฤษฎีดาวจะถูกแบ่งออกเป็น 6 ข้อด้วยกัน ดังนี้

  1. ตลาดสะท้อนความเคลื่อนไหวทุกอย่าง
  2. ตลาดมีแนวโน้มอยู่ 3 ประเภท
  3. แต่ละแนวโน้มหลักจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเสมอ
  4. ดัชนีที่มีความสัมพันธ์กันควรยืนยันแนวโน้มกัน
  5. ปริมาณของการซื้อขาย (Volume) สามารถใช้ยืนยันแนวโน้มได้
  6. แนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกิดสัญญาณการเปลี่ยนเทรน

โดยหลักการทั้ง 6 ข้อของทฤษฎีดาว มักจะสะท้อนสภาวะตลาดในแต่ละช่วงได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผมจะพาคุณไปรู้จักรายละเอียดของทั้ง 6 ข้อ เพื่อให้เห็นว่า ทำไมทฤษฎีดาวจึงกลายเป็นรากฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคครับ

1. ตลาดสะท้อนความเคลื่อนไหวทุกอย่าง

สภาวะตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อราคา หมายความว่า รูปแบบการเคลื่อนไหวของตลาดในช่วงเวลานั้นจะเป็นอย่างไร มันก็ได้สะท้อนสภาพเศรษฐกิจ การเมือง และข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

2. ตลาดมีแนวโน้มอยู่ 3 ประเภท

หากคุณมองภาพรวมของเทรนด์ราคาขนาดใหญ่ คุณมักจะสังเกตเห็นถึงแนวโน้ม 3 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

  • แนวโน้มหลัก (Primary Trend) คือ แนวโน้มระยะยาวหลายเดือน-หลายปี
  • แนวโน้มรอง (Secondary Trend) คือ แนวโน้มระยะกลาง ช่วงไม่กี่สัปดาห์-หลายเดือน
  • แนวโน้มย่อย (Minor Trend) คือ แนวโน้มย่อยหรือแนวโน้มระยะสั้น ช่วงไม่กี่วัน-ไม่กี่สัปดาห์

🔻 คำแนะนำจากทีมงาน Traderbobo: ตลาด Forex มีความผันผวนสูงในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งอาจมาจากข่าวเศรษฐกิจ ทำให้เทรดเดอร์ต้องแยกแยะว่าเทรนด์ที่เห็นเป็น “แนวโน้มย่อย” หรือ “สัญญาณหลอก”

3. แต่ละแนวโน้มหลักจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเสมอ

แต่ละแนวโน้มที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวโน้มขาลง แต่ละแนวโน้มมักไม่ได้เกิดขึ้นแบบทันที แต่จะค่อย ๆ เกิดตามลำดับไปทีละขั้น ซึ่งแบ่งออกได้ 3 ระดับ ดังนี้

  • ช่วงเก็บสะสม คือ ช่วงที่เทรดเดอร์ผู้มีประสบการณ์และเทรดเดอร์รายใหญ่ในตลาดเริ่มเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงที่ตลาดยังไม่คึกคัก
  • ช่วงที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เริ่มเข้าร่วม คือ ช่วงที่เทรดเดอร์จำนวนมากเริ่มสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของราคา และเข้าซื้อสินทรัพย์ ทำให้ราคาเริ่มเคลื่อนตัวแรงในช่วงนี้
  • ช่วงแจกจ่ายหรือช่วงกระจาย คือ ช่วงที่นักลงทุนเริ่มเข้าเก็งกำไรกันอย่างหนัก จนทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นเกินระดับปกติ ก่อนแนวโน้มจะเกิดการกลับตัว และเทรดเดอร์รายใหญ่จะเริ่มขายสินทรัพย์ เพื่อทำกำไรในช่วงนี้ 

ซึ่งทฤษฎีในข้อนี้แหละครับ ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของแนวคิด Order Block และ Accumulation/Distribution ของ Smart Money เลย เพราะแนวคิดเหล่านี้มักจะมองหาจุดที่มีการสะสมแรงซื้อและขาย ก่อนจะปล่อยแรงขับเคลื่อนใหญ่เข้าสู่ตลาด

4. ดัชนีที่มีความความสัมพันธ์กันควรยืนยันแนวโน้มกัน

วิธีสังเกตว่า แนวโน้มนั้นจะน่าเชื่อถือหรือไม่ตามทฤษฎีดาว คือ ดัชนีที่เกี่ยวข้องกันต้องสามารถยืนยันแนวโน้มกันเองได้ ซึ่งดัชนีที่นิยมนำมาใช้ในการยืนยันแนวโน้ม ได้แก่  

  • ดัชนี Dow Jones Transportation Average (DJTA) = ภาพรวมภาคขนส่ง
  • ดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA) = ภาพรวมภาคอุตสาหกรรม

ตัวอย่าง หากภาคการผลิตขยายตัวก็ต้องอาศัยภาคการขนส่ง เพื่อกระจายสินค้าออกสู่ตลาด ดังนั้น หากทั้งสองภาคส่วนยังไม่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน แสดงว่า แนวโน้มดังกล่าวยังไม่แข็งแรงนั่นเองครับ

🔻 ยกตัวอย่างในบริบทของตลาด Forex

ทฤษฎีข้อนี้ หากอยู่ในบริบทของตลาดฟอเร็กซ์ เทรดเดอร์สามารถสังเกตได้จากความสัมพันธ์ของคู่เงินครับ เช่น ทองคำกับดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (XAU/USD และ DXY)

  • ถ้า XAU/USD พุ่ง แล้วดัชนีค่าเงินดอลลาร์อ่อนแรงลง → แนวโน้มที่เกิดขึ้นมักจะมีความน่าเชื่อถือ
  • ถ้า XAU/USD พุ่ง แล้วค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า → แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจยังไม่น่าเชื่อถือ

*หมายเหตุ: ทังนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินทรัพย์นั้น ๆ  บางคู่เงินยืนยันกันด้วยการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แต่บางคู่เงินก็ยืนยันกันจากการเคลื่อนไหวในทิศทางที่สวนทาง

5. ปริมาณของการซื้อขาย (Volume) สามารถใช้ยืนยันแนวโน้มได้

ปริมาณของการซื้อขายมักสัมพันธ์กับแนวโน้มเสมอ หากเมื่อไหร่ที่ไม่สัมพันธ์กัน นั่นเท่ากับว่า แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจจะยังไม่น่าเชื่อถือครับ กล่าวคือ แนวโน้มที่แข็งแรงต้องมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ตามทิศทางของแนวโน้มนั้น

ความสัมพันธ์ระหว่าง Volume และแนวโน้ม

  • แนวโน้มขาขึ้น → ราคาขึ้น + Volume เพิ่ม = แนวโน้มแข็งแรง
  • แนวโน้มขาลง → ราคาลง + Volume เพิ่ม = แนวโน้มแข็งแรง

กรณีที่แนวโน้มกับ Volume ไม่สัมพันธ์กัน

หากราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ Volume กลับลดลง นั่นหมายความว่า แรงหนุนของแนวโน้มยังไม่แข็งแรง ทำให้แนวโน้มอาจเป็นแค่การเคลื่อนไหวชั่วคราว หรือมีโอกาสเป็น False Breakout

🔻ข้อควรระวัง ตลาด Forex ไม่มีข้อมูลปริมาณการซื้อขายที่แท้จริง เนื่องจากเป็นตลาดที่ไม่มีศูนย์กลางเหมือนตลาดหุ้น ดังนั้น หลักการที่อ้างอิงกับ Volume อาจไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในตลาด Forex อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจะไม่สามารถใช้ไม่ได้เลยซะทีเดียวนะครับ เพราะโบรกเกอร์ส่วนใหญ่มี Tick Volume ซึ่งสามารถใช้แทนในการยืนยันแนวโน้มได้เช่นกัน

6. แนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกิดสัญญาณการเปลี่ยนเทรน

แนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกิดสัญญาณที่ชัดเจนว่า แนวโน้มจะเกิดการกลับตัว ซึ่งพี่โบ้จะขออธิบายให้คุณเข้าใจง่าย ๆ ดังนี้

  • หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น → ให้คิดว่าแนวโน้มจะยังคงขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ
  • หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง → ให้คิดว่าแนวโน้มจะยังลดลงต่อไปเรื่อย ๆ

สรุปคือ แนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ในทิศทางของมันเอง จนกว่าจะมีสัญญาณชัดเจนว่า แนวโน้มกำลังเปลี่ยนทิศทาง เช่น การทำ Lower Low และ Lower High ในขาขึ้น หรือการที่ราคาทำจุด Higher High และ Higher Low ในขาลง

🔻ทีมงาน Traderbobo ขอแนะนำ: คุณสามารถสังเกตสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มได้จากการศึกษาการดู Price Action


ปัจจุบันยังมีแนวคิดที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากทฤษฎีดาวโดยตรง นั่นก็คือ Elliott Wave Theory ซึ่งถูกคิดค้นโดย Ralph Nelson Elliott โดยอาศัยพื้นฐานความเชื่อเดียวกับ Dow Theory ที่ว่าตลาดมักเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม

Elliott Wave คืออะไร

ทฤษฎี Elliott Wave คือ แนวคิดเกี่ยวกับการแกว่งตัวของราคา โดยเชื่อว่าราคาที่เกิดขึ้น มักมาจากจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาด และมักจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซึ่งการแกว่งตัวดังกล่าวจะถูกเรียกว่า “คลื่น”

การใช้ทฤษฎี Dow Theory ร่วมกับอินดิเคเตอร์ SMA

จากรูปเป็นการใช้ Dow Theory ร่วมกับอินดิเคเตอร์ Moving Average โดยประเภทของ MA ที่จะถูกหยิบมาใช้ คือ Simple Moving Average เพื่อใช้ยืนยันแนวโน้ม โดยผมจะเลือกใช้ค่า SMA20 เนื่องจากสะท้อนค่าเฉลี่ยราคาในช่วงสั้นถึงกลางที่นักเทรดนิยมใช้กัน ซึ่งพี่โบ้จะขออธิบายการใช้งานร่วมกัน ดังนี้

จุดสังเกตแนวโน้ม

  • จากจุดเริ่มต้น ราคาเคลื่อนไหวอยู่ใต้เส้น SMA20 และทำ Lower Low (LL1, LL2, LL3, LL4 และ LL5) รวมถึง Lower High ที่ไล่ระดับลงมาเรื่อย ๆ เช่นกัน
  • การที่ราคาลดต่ำลงต่อเนื่องแบบนี้ คือ สัญญาณของขาลงตามทฤษฎีดาวที่บอกว่าแนวโน้มจะยังคงไปต่อเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีสัญญาณการกลับตัวปรากฏขึ้น

จุดสังเกตสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง

  • โดยทั่วไปแล้ว ตามแนวโน้มขาลง LL6 ควรทำจุดต่ำกว่า LL5 แต่จากภาพกลับไม่สามารถทำได้ จึงทำให้เกิด Swing Fail
  • การที่ราคาไม่ทำ Low ใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแรงขายเริ่มอ่อนลง และเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม

จุดสังเกตการกลับตัว

  • หลังจากเกิด Swing Fail ตลาดก็เริ่มทำ Higher Low และแรงซื้อเริ่มกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง
  • ตรงนี้คือ สัญญาณตาม Dow Theory ที่ว่า แนวโน้มเก่าจะสิ้นสุดลงและแนวโน้มใหม่กำลังก่อตัวขึ้น ทำให้ในช่วงนี้ เทรดเดอร์อาจต้องเลี่ยงการเปิดออเดอร์ Sell และรอสังเกตสัญญาณการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นครับ

🔻บทความที่เกี่ยวข้อง: ศึกษาการใช้งานอินดิเคเตอร์ Moving Average ได้ที่ Moving Average (MA) คืออะไร

แม้ทฤษฎีดาว (Dow Theory) จะถูกคิดค้นและใช้งานมากว่าร้อยปี ทำให้บางเทรดเดอร์อาจมองว่าล้าสมัยหรือไม่ตอบโจทย์ในยุคนี้ แต่แท้จริงแล้ว หลักการของทฤษฎียังคงทรงพลัง โดยเฉพาะในยุคที่ตลาดการเงินมีความผันผวนอย่างรวดเร็ว การผสมผสานแนวคิดดั้งเดิมนี้เข้ากับการวิเคราะห์ที่สอดคล้องกับสภาพตลาดในปัจจุบัน จะยิ่งช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นทิศทางของตลาดได้อย่างเป็นระบบ มีกรอบการตัดสินใจที่ชัดเจน และเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดได้มากขึ้น

1. ทำไม Volume ถึงมีความสำคัญต่อทฤษฎี Dow Theory?

เหตุผลที่ Volume สำคัญต่อ Dow Theory ก็เพราะแรงซื้อและแรงขายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนและเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มในตลาดครับ

2. ถ้าสัญญาณจากราคาและปริมาณการซื้อขายขัดแย้งกัน ควรเชื่ออะไร?

ตามหลักของทฤษฎีดาว ราคาและปริมาณการซื้อขายควรไปในทิศทางเดียวกันครับ ดังนั้น เทรดเดอร์ควรรอสัญญาณจากตัวใดตัวหนึ่งก่อน เช่น สัญญาณจากราคา หรือสัญญาณจากปริมาณการซื้อขาย จึงทำการเข้าเทรดจะดีที่สุด

3. ตลาดกระทิงและตลาดหมี มีความหมายอย่างไรในทฤษฎี Dow Theory?

ในทฤษฎี Dow Theory คำว่าตลาดกระทิงเป็นตัวแทนของแนวโน้มขาขึ้น ส่วนตลาดหมีเป็นตัวแทนของแนวโน้มขาลงครับ

4. ทำไม Dow Theory จึงควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น?

Dow Theory ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นเพียงภาพรวมขนาดใหญ่ในการเทรดเท่านั้นครับ ทำให้การนำเครื่องมืออื่นเข้ามาใช้ร่วมด้วย จะช่วยเพิ่มความละเอียดในการวิเคราะห์ให้เทรดเดอร์มากขึ้น


อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้

พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page

Social Share
Facebook
Twitter
Picture of Traderbobo
Traderbobo

นักลงทุนในตลาด Forex และสินทรัพย์ทางการเงินด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี มุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย พร้อมแบ่งปันความรู้และกลยุทธ์การเทรด เพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในโลกการเงิน เหมาะสำหรับทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ

บทความน่าสนใจ
Adsense
Table of Contents
บทความน่าสนใจ
Adsense
Top Forex Brokers
IUX
Rated 5 out of 5
GO Markets
Rated 3.5 out of 5
EIGHTCAP
Rated 4 out of 5
Advertisement
FBS
Rated 3 out of 5
Pepperstone
Rated 2 out of 5
IUX
Rated 5 out of 5
FXGT.com
Rated 3.5 out of 5
EIGHTCAP
Rated 4 out of 5
Advertisement
FBS
Rated 3 out of 5
Pepperstone
Rated 2 out of 5